วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

เผชิญกำมือต่อหมัด Samsung Galaxy Note 5 vs iPhone 6S vs iPhone 6S Plus เช่าพระรุ่นไหนดี ?

โหมโรงไปอย่างยิ่งใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เกี่ยวกับ iPhone 6S พร้อมด้วย iPhone 6S Plus ไอโฟนรุ่นล่าสุดประจำปี 2015 ที่ในปีนี้ มีการอัปเกรดครั้งใหญ่ ทั้งการเพิ่มเทคโนโลยี Force Touch เสริมทัพด้วยฟีเจอร์ 3D Touch รวมไปถึง เพิ่มความละเอียดของเซ็นเซอร์กล้องถ่ายรูปทั้งด้านหน้า กับด้านหลัง เรียกได้ว่า คงถูกอกถูกใจ สาวก iPhone กันไม่น้อยเลยทีเดียว



ส่วนอีกรุ่นที่น่าสนใจไม่พ่ายกัน นั่นก็คือ Samsung Galaxy Note5 ที่โหมโรงก่อนหน้า iPhone 6S ไปแล้ว ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่ลอดมา โดยจุดเด่นของ Samsung Galaxy Note 5 รุ่นนี้ ก็คือ บอดี้ตัวเครื่องแบบโลหะ พร้อมชูจุดเด่นด้วยหน้าจอความละเอียดระดับ Quad HD รวมไปถึงกล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมทั้งอาวุธคู่ใจที่ขาดไม่ได้ นั่นก็คือ ปากกา S Pen Stylus ที่ช่วยทำให้การใช้งานบนหน้าจอใหญ่ สะดวกขึ้นกว่าเดิม

มาดูกันว่า ถ้าหากเราเปรียบเทียบสเปค ระหว่าง iPhone 6S vs iPhone 6S Plus vs Samsung Galaxy Note 5 ทั้ง 3 รุ่นนี้ จะโดดเด่นและแตกต่างอย่างไรบ้าง



ดีไซน์กับการออกแบบ

มาเปิดฝาผนังกันที่การออกแบบของทั้ง 3 รุ่นกันก่อน เพราะทั้ง iPhone 6S, iPhone 6S Plus และ Samsung Galaxy Note 5 มาพร้อมกับบอดี้แบบโลหะเหมือนกันทั้ง 3 รุ่น และเป็นอะลูมิเนียมเกรด 7000 เหมือนกันอีกด้วย แน่นอนว่า ในเรื่องของความแข็งแกร่ง, ทนทาน และพรีเมียม ทั้ง 3 รุ่นนี้ สูสีกันแบบเห็นๆ

ส่วนขนาดตัวเครื่อง ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy Note 5 จะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่กว่าถึง 5.7 นิ้ว แต่กลับมีน้ำหนักตัวเครื่อง เบากว่า iPhone 6S Plus ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้วเสียอีก แต่เรื่องความบางนั้น Samsung Galaxy Note5 หนากว่าเล็กน้อย

หน้าจอแสดงผล



เพราะ Samsung Galaxy Note5 นอกจากจะมาพร้อมกับหน้าจอใหญ่ถึง 5.7 นิ้วแล้ว ยังมาพร้อมกับความละเอียดระดับ QHD 2560 x 1440 พิกเซล อีกด้วย ในขณะที่ iPhone 6S Plus มาพร้อมกับหน้าจอความละเอียดระดับ Full HD 1080p เท่านั้น ทั้งๆ ที่ มือถือเรือธง ส่วนใหญ่ เริ่มใช้หน้าจอความละเอียดระดับ QHD กันหมดแล้ว ซึ่งในส่วนของการแสดงผล ถือว่า Samsung Galaxy Note 5 ค่อนข้างเหนือกว่า

อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่า Samsung Galaxy Note 5 จักได้เปรียบในเรื่องของหน้าจอใหญ่ แต่ในเรื่องของการพกพา คงไม่ยอมรับไม่ได้ว่า มือถือหน้าจอเล็ก พกพาได้สะดวกมากกว่า แต่ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับความชอบด้วยครับ

หน่วยประมวลผล



iPhone 6S ด้วยกัน iPhone 6S Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple A9 กับ M9 ซึ่งยังไม่มีข้อมูลระบุอย่างแน่ชัดว่า ชิปเซ็ตรุ่นนี้ เป็นแบบ Dual-Core เหรอ Quad-Core Processor กันแน่ รวมไปถึงข้อมูลในเรื่องของ หน่วยความจำ RAM ที่มีข่าวโจษจันว่า อาจจักมาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 2 GB ซึ่งคงต้องรอการพิสูจน์จากทาง iFixit อีกทีหนึ่ง

ส่วน Samsung Galaxy Note 5 จัดเต็มด้วย หน่วยประมวลผลแบบ Octa-Core Processor (Exynos 7420 chipset) ความเร็ว 2.1 GHz กับหน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB เรียกได้ว่า เร็วกับแรงไม่แพ้รุ่นใด แต่จะแรงกว่า iPhone 6S ด้วยกัน iPhone 6S Plus ไม่ใช่หรือไม่ คงต้องรอ Benchmark พิสูจน์กันถัดไป

กล้องถ่ายรูป



เรียกได้ว่า ในปีนี้ แอปเปิล ได้ยืดอกอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ก็เพราะว่า iPhone 6S พร้อมทั้ง iPhone 6S Plus มาพร้อมกับกล้องด้านหน้า ความละเอียด 5 ล้านพิกเซล ทัดเทียมกับ มือถือเรือธง รุ่นอื่นๆ แต่ล้ำหน้ากว่าด้วยไฟแฟลชแบบ Retina Flash ซึ่งจุดเด่นนี้ น่าจะช่วยดึงให้คนกลับมาใช้ iPhone ได้ไม่ยาก รวมไปถึงกล้องด้านหลัง ที่ปรับความละเอียดเป็น 12 ล้านพิกเซลแล้ว อีกทั้ง ยังรองรับการถ่ายคลิปวีดีโอความละเอียดสูงสุดถึง 4K อีกด้วย

นอกเหนือจากไฟแฟลชแบบ Retina Flash พร้อมด้วยปรับความละเอียดของกล้องถ่ายรูปทั้งด้านหน้า ด้วยกันด้านหลังแล้ว ยังได้เพิ่มโหมดการถ่ายรูปแบบ Live Photos ที่เปลี่ยนภาพนิ่งธรรมดาๆ ให้เคลื่อนไหวได้ สร้างลูกเล่นให้กับการถ่ายภาพได้อีกส่วนหนึ่ง



ส่วน Samsung Galaxy Note 5 ก็ไม่น้อยหน้า จัดเต็มทั้งกล้องด้านหน้าด้วยกันด้านหลังเช่นกัน เพราะกล้องด้านหน้า มาพร้อมกับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล กับกล้องด้านหลัง ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.9 ทั้งกล้องด้านหน้า กับด้านหลัง เรียกได้ว่า หมดปัญถ้าหาการถ่ายรูปในที่แสงน้อยไปเลย เพราะรับประกันความคมชัดพร้อมทั้งสว่างสดใสแน่นอน รวมไปถึงลูกเล่นด้านการถ่ายภาพ Samsung Galaxy Note 5 มีมากกว่า iPhone 6S ด้วยกัน iPhone 6S Plus เสียอีก

การเชื่อมต่อ

ทั้ง iPhone 6S, iPhone 6S Plus กับ Samsung Galaxy Note 5 ต่างรองรับ Wi-Fi 802.11 a/b/g/n/ac, Bluetooth 4.2, NFC, GPS + A-GPS + GLONASS เหมือนกัน ส่วนด้านการเชื่อมต่อเปลี่ยนสายเคเบิล Samsung Galaxy Note 5 ใช้พอร์ต microUSB 2.0 ในขณะที่ iPhone 6S พร้อมทั้ง iPhone 6S Plus ใช้พอร์ต Lightning ซึ่งถ้าพูดถึงความสะดวกในการใช้ยามฉุกเฉิน ต้องเผยว่า พอร์ตแบบ microUSB 2.0 สะดวกมากกว่า ดังที่มือถือหลายรุ่นต่างก็ใช้พอร์ตแบบนี้ ในขณะที่พอร์ตแบบ Lightning จะต้องเป็นผู้ใช้ iPhone 5 ขึ้นไปเท่านั้น จึงจักมีสายชาร์จแบบนี้

เซ็นเซอร์ต่างๆ

ทั้ง 3 รุ่น ต่างมาพร้อมกับเซ็นเซอร์พื้นฐานอย่าง Accelerometer Sensor, Gyro Sensor พร้อมทั้ง Proximity Sensor อยู่แล้ว รวมไปถึงเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ บนปุ่ม Home อีกด้วย แต่สิ่งที่ Samsung Galaxy Note 5 เหนือกว่า ก็คือ มีเซ็นเซอร์วัดอัตราการเต้นของหัวใจ ที่ด้านหลังตัวเครื่องอีกด้วย ในขณะที่ผู้ใช้ iPhone จะต้องวัดเปลี่ยน Apple Watch แทน

iPhone 6S, iPhone 6S Plus กับ Samsung Galaxy Note 5 รุ่นไหน คุ้มค่ามากกว่ากัน?



คำถามนี้ คงเป็นเรื่องที่ตอบได้ยากสักหน่อย ด้วยเหตุที่ทั้ง 3 รุ่นก็มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป ด้าน iPhone 6S กับ iPhone 6S Plus สเปคไม่ทิ้งห่างกันเท่าไหร่ เชื่อได้ว่า สาวกคงจะตกลงใจเละบือกเองได้ไม่ยาก เพราะเฉพาะผู้ที่ยังใช้ iPhone รุ่นเก่าอยู่ อย่าง iPhone 4S, iPhone 5 หรือ iPhone 5S น่าจะได้เวลาเปลี่ยนมาใช้กันแล้ว หรือไม่ผู้ที่ใช้ iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus อยู่ก่อนแล้ว ก็มีแนวโน้มที่จักเปลี่ยนด้วยเช่นกัน เนื่องมาจากตะโกรงลองของใหม่อย่าง Force Touch พร้อมทั้ง 3D Touch

เกี่ยวกับจุดเด่นในแต่ละด้านระหว่าง iPhone6S / iPhone 6S Plus พร้อมทั้ง Samsung Galaxy Note 5 เหล่างานขอสรุปไว้เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ด้านการแสดงผล

แม้วัดกันที่การแสดงผล คงจักตัดสินได้ไม่ยากว่า Samsung Galaxy Note 5 เหนือกว่าในด้านนี้ ทั้งนี้เพราะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผล ที่มีความละเอียดสูงถึงระดับ QHD ในขณะที่ iPhone 6S Plus ความละเอียดหน้าจออยู่ที่ระดับ Full HD เท่านั้น ซึ่งมือถือเรือธงส่วนใหญ่ จักมาพร้อมกับหน้าจอระดับ QHD กันหมดแล้ว

2. กล้องถ่ายรูป

Samsung Galaxy Note 5 เหนือกว่าในเรื่องของกล้องด้านหลัง ที่มาพร้อมกับความละเอียดถึง 16 ล้านพิกเซล พร้อมรูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.9 ตอบสนองต่อการใช้งานในที่แสงน้อยได้ดี อีกทั้งยังมีลูกเล่นและโหมดการ ถ่ายภาพยังมีให้เฟุ้งเฟื่องกใช้มากกว่า ส่วน iPhone 6S / iPhone 6S Plus เหนือกว่าในเรื่องของกล้องด้านหน้า ที่ถึงแม้จะมาพร้อมกับความละเอียด 5 ล้านพิกเซล เหมือนกับ Samsung Galaxy Note 5 แต่มีไฟแฟลชแบบ Retina Flash ในตัว ฉะนั้น ถ้าสมมุติใช้งานด้าน Selfie ถือว่า iPhone 6S / iPhone 6S Plus ดีกว่า



3. การประมวลผล

ถ้าสมมุติมองในเรื่องฮาร์ดแวร์ ณ ชั่วโมงนี้ ต้องบรรยายว่า Samsung Galaxy Note 5 เหนือกว่า เนื่องจากว่ามาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 4 GB ด้วยกันซีพียูแบบ Octa-Core Processor แต่ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า จักประมวลผลได้เร็วกว่า iPhone 6S / iPhone 6S Plus เพราะต้องรอผลการชิงชัย Benchmark มายืนยันอีกครั้ง เนื่องจากทั้ง 2 รุ่น ใช้ระบบปฏิบัติการที่ต่างกันนั่นเอง

4. เทคโนโลยีใหม่ๆ

iPhone 6S / iPhone 6S Plus ถือว่า เป็นรุ่นที่มีการอัปเกรดมากกว่า iPhone รุ่นอื่นๆ ก็เพราะว่านอกจากจักอัปเกรดทั้งชิปเซ็ต และกล้องถ่ายรูปแล้ว ยังได้เพิ่มเทคโนโลยีน้องใหม่แกะกล่องอย่าง Force Touch พร้อมด้วย 3D Touch เพิ่มเข้ามา แต่ก็ต้องมองกันถัดยาวๆ ว่า เทคโนโลยีดังกล่าว จะมีความจำเป็นต่อการใช้งานมากแค่ไหน เช่นเดียวกับเวลาที่ Apple เริ่ม Touch ID ที่หลายๆ คนมองว่า เป็นฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น แต่ ณ ปัจจุบัน Touch ID หรือไม่การสแกนลายนิ้วมือ เป็นสิ่งจำเป็นต่อการใช้งานสมาร์ทโฟนไปเสียแล้ว

ส่วน Samsung Galaxy Note 5 มาพร้อมกับเทคโนโลยี UHQ Upscaler ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงของทั้ง เพลง และวีดีโอ ให้มีรายละเอียดดีขึ้น พร้อมกับคมชัดขึ้น ซึ่งทางกรุ๊ปงาน techmoblog ก็ได้ทำการพิสูจน์ในบทความรีวิวไปแล้วว่า เสียงคมชัดขึ้นกว่า Samsung Galaxy Note 4 จริงๆ แต่เพราะว่าข้อนี้ คงต้องยกให้ iPhone 6S / iPhone 6S Plus เหนือกว่า เนื่องจากเทคโนโลยี Force Touch ด้วยกัน 3D Touch ยังไม่เคยมี สมาร์ทโฟน รุ่นใดมีมาก่อนนั่นเอง

5. สนนราคา

ปิดท้ายด้วยด้านราคากันบ้าง Samsung Galaxy Note 5 เคาะสนนราคามาแล้ว อยู่ที่ 25,900 บาท ส่วน iPhone 6S พร้อมกับ iPhone 6S Plus คงต้องลุ้นกันต่อจากนั้นว่า จักเคาะค่าเริ่มมาสูงไม่ก็ต่ำกว่านี้

ติดตาม ข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ที่: http://thaizones-hitech.blogspot.com/

วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

รวมสิ่งที่คาดว่าคุณจักพบใน iPhone 6s พร้อมกับ iPhone 6s Plus ที่กำลังจักเริ่ม

เพราะด้วยบทความนี้อาจจะเอาใจคนที่สนใจไอโฟนรุ่นใหม่ทั้งหลาย ซึ่งเราจะรวบรวมสิ่งที่ใหม่แน่นอน ๆ ใน iPhone 6s ที่ตื่นเต้น พร้อมกับน่าใช้กันสุดยอดบ้าง หมายเหตุ!! สิ่งเหล่านี้เป็นการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลพร้อมด้วยนำมาเขียนวิเคราะห์กับใส่ความเห็นของผู้เขียนลงไป ยังไม่ใช่กันฟันธง 100% ฉะนั้น อ่านแล้วคิดพิจารณาเองก่อนลงความเห็นนะครับ



1.จอละเอียดขึ้น

ต้องเข้าใจว่า iPhone 6s จะเป็นรุ่นการพัฒนาขึ้นจาก iPhone 6 เดิม ฉะนั้นจักไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างด้วยกันขนาดหน้าจอได้ แต่ความละเอียดที่มากกว่าเดิม เพราะ iPhone 6s จะมีความละเอียดที่มากกว่าเดิมอยู่คาดคะเน 30% ฉะนั้น ถ้าเรามองที่จอของ iPhone 6s จะละเอียดขึ้นพร้อมด้วยแสดงผลภาพสวยงามใช้ได้เลยทีเดียว ถ้าเป็น iPhone 6s Plus ก็จะมากขึ้นไปอีก แต่ยังไม่เท่า Android รุ่นใหม่ในระดับ 2K นะครับ ความเป็นไปได้ที่ผมให้ 80% ล่ะกัน

2.CPU ใหม่พร้อมทั้งแรงขึ้น

ของใหม่ต้องแรงขึ้นเป็นธรรมดา จากแหล่งข่าวที่พึ่งหลุดมาพูดถึงเรื่องสเปคเครื่องว่าจักมีการใช้ CPU A9 ใหม่ที่มีความแรง 1.8 GHz แรงกว่าเดิมแน่นอน พร้อมกับไม่ต้องพูดถึงการวัดใจ Benchmark ว่าจะได้เท่าไหร่ เอาเป็นว่ายังไงก็ไหลไปดีขึ้นล่ะกัน แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการกินไฟนี่แหล่ะ แม้ว่าจะใช้สถาปัตยกรรม 14 นาโนเมตรก็ตาม ความเป็นไปได้ ความเป็นได้ที่ผมให้มาเต็มที่ 80% เท่ากับข้างบน

3.RAM มากขึ้น

แน่นอนว่าผมก็เป็นอีกคนที่บ่นว่า RAM ของ iPhone 6 น้อยไปก็เพราะว่าให้มาพาง 1GB เท่านั้น Apple คงฟังเสียงบ่นแล้ว ผลคือไอโฟนใหม่อย่าง iPhone 6s จะเพิ่ม RAM เป็น 2GB นั่นเอง ฉะนั้นการเปิดโปรแกรมค้างไว้บ่อย หรือว่าจะเล่นเกมแล้วกลัวลื่นไม่พอ หมดห่วงนะครับ ความเป็นไปได้ผมให้ 77% ล่ะกัน

4.กล้องชัดขึ้น

iPhone รุ่นเดิมเป็นมีกล้องหน้าด้วยกันหลังที่เรียกว่า ล้าหลังจากคู่แข่งมาพอสมควร ฉะนั้นการเพิ่มความละเอียดกล้องนั้นจึงต้องเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน เพราะเพิ่มกล้องหน้าที่ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมกับกล้องหลัง 12 ล้านพิกเซล พร้อมกับถ่ายวีดีโอได้ระดับ 4K แม้ว่าพิกเซลจักเพิ่ม แต่จะคมชัดเหรอไม่ ต้องรอดูกันหลังจากนั้น ความเป็นไปได้ คาดว่า 70% (เผื่อใจไว้ก่อน)



5. Body แข็งแรงขึ้น

ปัญหาของ iPhone 6 ที่ออกมาพร้อมทั้งเป็นคนที่ต้องบ่นมากมายคือ เครื่องงอง่าย (อาจจะเพราะนั่งกดทับมา) ฉะนั้นแล้ว iPhone 6s ด้วยกัน iPhone 6s Plus จะเปลี่ยนวัสดุข้างหลังเป็นอลุมิเนียม เกรด 7,000 ซึ่งเป็นเกรดเดียวกับ Samsung Galaxy Note 5 ที่แข็งแรงกว่าเดิม แต่ตกยังไงก็บุบอยู่ดีขึ้นอยู่กับมุม แน่นอนว่าการเพิ่มเกรดอลุมิเนียม ฉะนั้นความหนาจะเพิ่มขึ้น ตามที่เคยนำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้ แต่ความเห็นผมแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ได้เสียหายสกเท่าไหร่ เพราะความหนาของมันจะเพิ่มระดับ 0.x มิลลิเมตร มันไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่ครับ

6.สีชมพู สุดมุ้งมิ้ง

หลุดมาแล้วมากมายด้วยว่าประเด็นสีชมพู Pink Gold ที่สวยงามมากมาย แต่ด้วยภาพที่หลุดออกมามันก็มีความเป็นไปได้อยู่บ้าง ด้วยกันมันก็เอาใจผู้หญิงพอสมควรก็เพราะว่าสีที่มุ้งมิ๊งมากมาย ความเป็นไปได้ผมว่า 90% ล่ะกัน



7.จอ Force Touch

เป็นเทคโนโลยีที่ Apple เหมือนจักตั้งใจให้ออกมาก็เพราะว่าว่า หน้าจอ Force Touch ซึ่งเป็นจอที่ต้องใช้แรงกดในการสั่งงานที่แตกต่างจากเดิม หรือไม่ก็เรียกได้ว่าจอจะรู้ถึงแรงกดระดับเท่าไหร่ได้เช่นกัน ซึ่งเทคโนโลยีนี้เกิดขึ้นแล้วกับ Apple Watch ด้วยกัน Huawei Mate S ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ แต่จักใช้งานกับฟังก์ชั่นอะไรนั้น ต้องรอดูต่อจากนั้น ผมว่าต้องใส่มาเลยเพราะว่ามันเด็ดพอสมควรเลย ส่วนนี้ความเป็นไปได้สัก 75%

8.iOS 9

เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาออกมารายงานว่าใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า และมีลูกเล่นใหม่ ๆ ไม่ว่าจักเป็น Multi Tasking, Keyboard ที่ทำได้ตั้งค่า Shortcut ใช้งานได้ง่ายขึ้น, กับอื่น ๆ อีกมากมายที่ทำให้มันดูน่าใช้กว่าเดิม แน่นอนว่า มันจะมาใส่กับ iPhone 6s กับ iPhone 6s Plus อย่างแน่นอน ความเป็นไปได้ 98%

9.ราคาในไทยที่ต่างจากเดิม

ขณะเป็นของใหม่มา ยังไงก็สนนราคาแพงขึ้นเป็นเรื่องปกติ ซึ่งยังไงซะราคาก็คาดว่ามากกว่าเดิมอยู่ดี แต่มากกว่าระดับไหน ต้องรอดูว่าแต่ละผู้ให้บริการนั้นจักตั้งราคาที่เท่าไหร่กันต่อจากนั้น พร้อมกับโปรโมชั่นคงไม่บ่งบอกดีกว่า ความเป็นไปได้ 95%



10.รังสีเปล่งประกายเพราะความสดใหม่ของมัน

ข้อสุดท้ายนี้ ทำไมถึงต้องเป็นรังสีเปล่งประกายเพราะว่ามันใหม่ พร้อมด้วยสร้างความอิจฉาริษยากับคนที่ใช้รุ่นเดิมได้พอสมควร แต่ถ้าคนที่ไม่ได้เกิดอาการดังกล่าวคงเป็นก็เพราะว่า ต้องการรอไอโฟนรุ่นหลังจากนั้น ... ก็เป็นได้ ความเป็นไปได้เอาไปเลย 100% เลย

สุดท้ายนี้ นี่คือความคิดเห็นพร้อมด้วยการคาดคะเนพร้อมกับความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเอง แต่อย่างไรก็ดี คงไม่มีสิ่งใดที่หยุดความใหม่ล่าสุดของ iPhone 6s หรือไม่ก็ iPhone 6s Plus ใหม่ได้ นอกจาก เงินด้วยกันความต้องการของคุณเอง แต่ส่วนตัวผู้เขียนนั้น ขอรอดูรุ่นหน้าไปก่อนจนกว่าไอโฟนเดิมจักพังก่อนวัยอันควรก็แล้วกัน ที่เหละบือนั้นก็รอดูว่าสิ่งที่พูดนั้นเป็นยิ่งใช่ไหมไม่ในคืนวันที่ 9 กันยายนนี้

ที่มา: thaizones-hitech ติดตาม ข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ที่: http://hitech.sanook.com/

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

iPhone 6c ไอโฟนรุ่นเล็ก กับบอดี้โลหะที่พรีเมียมกว่าเดิม อาจมีลุ้นเผยโฉมพร้อมกับ iPhone 6s พร้อมด้วย 6s Plus

กระแสข่าวเอิกเกริกเกี่ยวกับ iPhone 6C ยังคงมีมาอย่างไม่หยุดหย่อน ภายหลังก่อนหน้านี้มีข่าวว่า Apple ได้ยกเลิกไลน์การผลิต iPhone 6c เรียบร้อยแล้ว แต่ล่าสุด @evleaks เจ้าพ่อข่าวเล่าลือชื่อดังใน Twitter ก็ได้ออกมาทวิตข้อความว่า iPhone 6C จะกลับมาอีกครั้ง



จากข้อมูลที่เป็นข่าวระบือก่อนหน้านี้ iPhone 6c จักมาพร้อมกับ ตัวเครื่องที่ผลิตจากโลหะเพื่อให้ดูเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมมากกว่า iPhone 5c รุ่นพี่, แบตเตอรี่ที่เพิ่มความจุขึ้นเป็น 1,715 mAh, ชิปเซ็ตที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี FinFET พร้อมทั้งจอแสดงผลขนาด 4 นิ้ว

ซึ่งถ้า Apple ผลิต iPhone 6c นัก ก็คาดว่าน่าจะโหมโรงในช่วงต้นปี 2016 แต่อย่างไรก็ตาม งานเริ่ม iPhone 6s พร้อมด้วย iPhone 6s Plus กำลังจักมีขึ้นในวันที่ 9 กันยายนนี้ (ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการ) ก็ต้องติดตามดูกันรองลงไปว่างานจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ใดๆ เกี่ยวกับ iPhone 6c บ้างไม่ก็ไม่

ที่มา: thaizones-hitech

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

ทายราคา iPhone 6s ในไทยขึ้นต้น 24,900 บาท

หลังจากมีรายงานเกี่ยวกับค่า iPhone 6s พร้อมกับ iPhone 6s Plus จากฝั่งยุโรปที่มีมูลค่าเท่ากับตอนเริ่ม iPhone 6 พร้อมกับ iPhone 6 Plus จึงมีความเป็นไปได้ว่าราคา iPhone แบบใหม่ในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยจักเท่าเดิม



แม้ว่า iPhone แบบใหม่หรือว่า iPhone 6s จะยังไม่เปิดตัว แต่เกี่ยวกับสนนราคานั้นคาดว่าเท่าเดิมกับ iPhone ด้วยดีไซน์ต่าง ๆ ซึ่งตามข่าวก่อนหน้านี้ต่างก็ให้ข้อมูลว่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก แต่จะมีการปรับสเปคในส่วนของประสิทธิภาพการทำงานด้วยกันกล้องถ่ายรูปให้ดีกว่า เดิม



สมมติราคา iPhone 6s มีมูลค่าเท่าเดิม ก็จะมีมูลค่าตั้งต้นต้นอยู่ที่ 24,900 บาทในรุ่นความจุ 16GB ซึ่งเป็นราคาบน Apple Online Store ส่วน iPhone 6 พร้อมทั้ง iPhone 6 Plus ก็จะปรับราคาลงมาตามลำดับ



ตราบใดย้อนกลับดูมูลค่า iPhone 6 เทียบกับ iPhone 5s แล้วก็พบว่า iPhone 6 เปิดมูลค่าสูงกว่าเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งหมด ทั้งวัสดุ ดีไซน์ ขนาดตัวเครื่อง พร้อมทั้งสเปค แต่สำหรับ iPhone 6s แล้วยังคงใช้ดีไซน์แบบเดิม พร้อมทั้งขนาดก็น่าจักใกล้เคียง iPhone 6 ตามที่มีข่าวออกมาขณะนี้

อย่างไรก็ตาม สนนราคาดังกล่าวเป็นเท่าการคาดการณ์ล่วงหน้าพร้อมกับความเป็นไปได้เท่านั้น ส่วนข้อมูลและมูลค่าอย่างเป็นทางการต้องรอติดตามดูกันต่อไปครับ

สนับสนุนเนื้อหา: www.iphone-droid.net
ติดตาม ข้อมูลข่าวสารไอทีได้ที่นี่: http://thaizones-hitech.blogspot.com/

ติดตาม ข่าวสารทางด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ที่: http://hitech.sanook.com/

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2558

มาทำความรู้จักกับ iPhone 6s ก่อนเปิดตัวกันเถอะ!!

iPhone 6s ดีไซน์มาเหมือนกับกับ iPhone 6 เลยเพียงแต่เติมให้ความหนาขึ้นมานิดนึง

ถ้าแม้ จะมีข่าวลือออกมาว่า iPhone 6S (ไอโฟน 6S) จะมีออกแบบประดุจดังกับ iPhone 6 ก็ตาม เท่านั้นดูเพียงว่า ทำได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตราบใดข่าวลือล่าสุด ตีแผ่ว่า iPhone 6S จะหนาขึ้น จากเดิม 6.9 มิลลิเมตร เป็น 7.1 มิลลิเมตร ส่วนมูลเหตุที่ทำให้ iPhone 6S หนาขึ้น เป็นเพราะเทคโนโลยี Force Touch นั่นเอง

นอกจาก iPhone 6S จะมีความปฏิรูปในเรื่องของ ชิปเซ็ต พร้อมกับกล้องด้านหลังแล้ว ศูนย์ข่าวยังแสดงตนอีกว่า เทคโนโลยี Force Touch ถือว่า เป็นการเปลียนแปลงที่ใหญ่ที่สุดบนรุ่นนี้ แต่ก็ส่งผลให้ตัวเครื่องหนาขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ส่วนดีไซน์อื่นๆ ยังคงตามปกติไม่เปลี่ยน



โดยเทคโนโลยี Force Touch นั้น จะช่วยทำให้สามารถจำแนกแรงกดบนหน้าจอได้มากขึ้น ซึ่งถูกนำไปใช้บน Apple Watch แล้วนั่นเอง
เหตุด้วยหลักเปิดฉาก iPhone 6S คาดว่า เป็นวันที่ 6 กันยายนนี้

ที่มา : cultofmac.com

ใช้บอดี้อะลูมิเนียมเกรด 7000 แบบเดียวกับ Apple Watch Sport ประกันความแข็งแรง ไม่งอ



ล่าสุด ทาง Economic Daily News จากประเทศไต้หวัน เปรยว่า iPhone 6S พร้อมกับ iPhone 6S Plus จะเปลี่ยนเครื่องไม้เครื่องมือที่ใช้ผลิตบอดี้ใหม่ เป็น อะลูมิเนียมอัลลอยด์เกรด 7000 ที่ใช้บน Apple Watch Sport ซึ่งมีความแข็งแรง กว่า อะลูมิเนียมทั่วๆ ไปถึง 60%



เกี่ยวกับเหตุหลักๆ ที่ทำให้ แอปเปิล ต้องเปลี่ยนวัตถุที่ใช้ผลิตบอดี้ใหม่ เป็นเหตุเพราะ iPhone 6 นั้น เจอทาง #bendgate ไม่ก็ตัวเครื่องโค้งงอนั่นเอง ทำให้แอปเปิล หาวิธีที่จะผ่านบอดี้ใหม่ อย่างไรก็ดี มาตรแม้น อะลูมิเนียมอัลลอยด์ จะมีความแข็งแกร่งไม่เท่า Stainless Steel แต่ก็มีน้ำหนักเบา, สามารถขึ้นรูปได้หลายสี ด้วยกันไม่มีผลกระทบกระเทือนต่อตัวรับสัญญาณในตัวเครื่องอีกด้วย

ส่วนข้อมูลนี้ จะเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน ต้องติดสอยห้อยตามกันต่อไปนะคร้าบบบ

ที่มา : macrumors.com

และสุดท้ายนี้ในส่วนของแบตเตอรี่ทาง Apple เค้าจะให้มาที่ปริมาตร 1715 mAh นะครับก็คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ให้เกือบเต็มเม็ดเต็มหน่วยวันล่ะเนอะ อิอิ (ปกติธรรมดาเท่าที่ผมใช้อยู่ตอนนี้จะเป็น Note 4 ซึ่งแบตก็ถือว่าอึดพอสมควรเลยนะ ถ้าเล่นบ้างนิดหน่อย เรื่อยๆ โซเชียลบ้าง อ่านนิยายบ้าง ก็พอดีเหตุด้วยช่วงกลางวันทั้งวันอ่านะ แต่ถ้าเล่นเกมส์หนักๆ ก็ไม่มีเครื่องไหนหรอกที่จะอยู่รอดทั้งวัน มันขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้งานทั้งนั้นแหละครับ!!)

ปล. ปกติแล้วไอโฟนรุ่นใหม่จะออกรุ่นหลักมา จากนั้นรุ่นต่อไปจะตามด้วยรุ่นหลักแล้วเติม S เข้าไปต่อท้ายนะครับ เห็นมีคนเรียกผิดกันเยอะแยะเลย กลายเป็นว่าเรียกข้ามรุ่นไปยกตัวอย่างเช่นเมื่อปีที่แล้วทาง apple ออกไอโฟนใหม่มาโดยใช้ชื่อว่า iPhone 6 และ iPhone 6 plus ดังนั้นรุ่นที่จะออกในปีนี้ก็จะใช้ชื่อว่า iPhone 6s และ iPhone 6s plus นั่นเองจ้า ไม่ใช่ iPhone 7 นะฮะ ^^

ติดตาม ข่าวสารไอทีต่างๆ จากทางเราได้ที่: http://thaizones-hitech.blogspot.com/>

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ก๊อก ก๊อก iPhone 6s ได้กาลเปิดตัววันที่ 9 เดือน 9 นี้แล้วนะฟังรู้เรื่องยัง?

ศูนย์ข่าวที่เชื่อได้บอกว่า iPhone 6s มาแน่ !! ไม่ได้ใช้สมัญญานามว่า iPhone 7 นะจ๊ะ...เมื่อแจกแจงจากตัวนำต่างประเทศชี้ว่า Apple จะถือกาลเปิดฉากในวันที่ 9 เดือน 9 พร้อมกับกับจังหวะที่เราจะได้ดูเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ โหมโรงด้วย นอกเหนือจาก iPhone รุ่นใหม่นี้ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นผมว่าเพื่อนๆ คงจะแอบรู้แจ้งกันมาคร่าวๆ บ้างแล้วล่ะเนอะ ^^


เจ้าของภาพ TechCrunch


John Paczkowski ผู้สื่อข่าวด้านเทคโนโลยีชั้นนำได้โจ่งครุ่มข้อมูลต่อ Buzzfeed ว่า Apple จะใช้วันที่ 9 เดือนกันยายน โหมโรง iPhone แบบใหม่ ซึ่งหากไม่มีอะไรพลิกโผจะเป็นการเปิดตัว iPhone 6s ที่มาพร้อมทั้งการอัพเกรดสรรพคุณทั้งส่วนฮาร์ดแวร์พร้อมด้วยซอฟต์แวร์เหมือนเช่นหลาย ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามความน่ารู้นอกเหนือจากนี้มีอธิบายว่า Apple จะใช้ช่วงเวลาเดียวกันเปิดตัว Apple TV รุ่นใหม่อีกด้วย

ในความน่าสนใจของ iPhone 6s จะเป็นการเพิ่มเทคโนโลยีด้านการสัมผัสบนหน้าจอทัชสกรีน หรือ Force Touch คุณสมบัติของการแตะเบาๆ กับการกดแรงๆ เพื่อเรียกใช้งานระบบควบคุมต่างๆ เช่นเดียวกับ Apple Watch อีกทั้งยังมีสีอีกครั้งเพิ่มขึ้นขึ้น กับบอกลาขนาด 16GB พร้อมทั้งจะไปริเริ่มที่ 32GB แทน

ประกาศล่าสุดของงานโหมโรง iPhone 6s ซึ่งปีนี้น่าจะเปิดฉากเร็วกว่าที่คาด ซึ่งปีนี้เราน่าจะได้เจองานเปิดฉากในวันที่ 9 กันยายนนี้ พร้อมกับการเปิดตัว iPad Pro ด้วยกัน Apple TV ใหม่ด้วย !!

เพราะว่าสาธยายจาก John Paczkowski ผ่าน BuzzFeed ซึ่งเคยให้ข่าวที่ตรงด้วยกันเชื่อถือได้มาก่อน เล่าว่าแอปเปิลตระเตรียมจะจัดงานเปิดตัว iPhone 6s กับ iPhone 6s Plus ในวันที่ 9 กันยายนนี้



นอกจากนี้ในงาน เป็นไปได้ว่าทำได้มี iPad Pro ที่ทุกคนรออยู่การเปิดตัวซึ่งเป็นข่าวลือมานาน รวมถึง Apple TV รุ่นใหม่ ที่มีการอัพเกรดสเปค พร้อมทั้งฟังก์ชั่นการทำงานที่ดีกว่าเดิมอาจจะได้เห็นพร้อมกับกันในงานอีกด้วย



สมมุติ iPhone 6s จะมาพร้อมทั้งจอแบบแยกแรงกดได้, สีใหม่ทองกุหลาบ, แรม 2GB, กล้อง 12 ล้าน, สิ่งของใหม่ที่แข็งแรงกว่าเดิม รวมถึงขนาดขนาดน่าจะเริ่มที่ 32 GB ตามข่าวโคมลอยล่าสุด

ใครที่เผ้าคอยไอโฟนรุ่นใหม่อยู่ เก็บตังค์รอไว้ได้เลย !!

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2558

มาแน่! Apple เกลี่ยสต๊อก MacBook Air บนเว็บ อาจจะตระเตรียมอัพเดทรุ่นใหม่วันจันทร์นี้

น่าจักเป็นหลักฐานที่บ่งบอกเล่าได้อย่างดี พอ  ได้ทำการขยับเวลาการจัดส่ง MacBook Air บน Apple Online Store อเมริกา จากเดิมอาจจัดส่งได้ทันที เป็น “ภายใน 1 วัน” ซึ่งอาจจักหมายถึงว่า MacBook Air อาจจักมีการอัพเดทในวันจันทร์นี้
โดยที่ทูลว่าเป็นไปได้ ก็เพราะว่าในวันจันทร์ที่ 9 มีนาคมนี้ Apple จะมีงานเปิดตัวรายละเอียด Apple Watch ซึ่งคาดกันว่าจะมีการอัพเดท MacBook Air ด้วย ซึ่งทำให้ออเดอร์ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 มีนาคม จักถูกดีเลย์ไปอีก 1 วันเพื่อที่ Apple จักได้ส่งเครื่องรุ่นใหม่แทนนั่นเอง
อย่างไรก็ตามในรอบนี้น่าจะเป็นการอัพเดท MacBook Air โฉมเดิมให้มีสเปคที่ดีขึ้นเฉยๆ ส่วนจักมีแบบใหม่โหมโรงไปพร้อมกันเลยเหรอ ไม่นั้น ก็คงต้องรอดูวันงานอีกที อดได้เห็นคอมพิวเตอร์แบบใหม่ของทาง Apple เลยที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาย้ำเตือนว่าจะทำขอบบางๆ แล้วจะมีบอดี้สีดำด้วย กลับกลายมาเป็นบอดี้เดิมแต่เพิ่ม Spec เท่านั้นเอง...
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558

จะตรวจได้อะไรว่า iPhone ที่จ่ายเงินมานั้น เป็นเครื่องศูนย์เมืองไทย หรือเครื่องหิ้ว (เครื่องนอก)?

     เพราะช่องทางการซื้อ iPhone มาใช้งานนั้น นอกจากจักเชี่ยวชาญสั่งซื้อแบบออนไลน์ทะลุ Apple Online Store ไม่ใช่หรือข้ามผู้ให้บริการเครือข่ายในไทยแล้ว
     การซื้อ iPhone จากตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วไป ก็ถือว่า เป็นอีกทางเโจษจันกหนึ่ง เพราะว่าเฉพาะ ร้านตู้ ที่หลายๆ คนมองว่า มีมูลค่าที่ถูกกว่า พร้อมทั้งเก่งหาซื้อ ไอโฟนมือสอง มาใช้งานได้ แต่ในบางครั้ง อาจจักโดนย้อมแมวด้วยการนำ เครื่องนอก มาขายให้แทน
     ซึ่งจักถือว่า มีปัญหาในด้านการเคลมอย่างแน่นอนครับ ด้วยเหตุว่า iPhone นั้น จะรับประกันตามประเทศที่ซื้อมา ต่างจาก iPad, iPod, Mac พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่รับประกันแบบ World Wide
     กับเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จะต้องทำการตรวจสอบก่อนว่า iPhone ที่ซื้อมานั้น เป็นโมเดลของประเทศไทยไม่ก็ไม่ ด้วยการตรวจสอบจากเลข IMEI นั่นเอง โดยวิธีการค้นหาเลข IMEI บน iPhone รอบรู้ทำได้ 2 แบบด้วยกัน
โดยวิธีแรก ให้เข้าไปที่ Settings > General > About > IMEI
ส่วนวิธีที่สองก็คือ กดหมายเลข *#06# ก็จะมีเลข IMEI ปรากฏขึ้นมาเช่นกัน
     ตราบได้เลข IMEI แล้ว ให้นำเลขดังกล่าว ไปตรวจสอบได้ที่ http://iphoneimei.info ซึ่งด้านในจะมีข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับ iPhone รุ่นนี้ ทั้ง Serial Number, ประเทศที่ซื้อ, วันหมดประกัน พร้อมกับสถานะการ Unlock ครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ห้อยมือถือ...ก็อยากตัดมิตรภาพนะแม้ว่าจะทำอย่างไรดี..?

     ผู้คนสมัยนี้โดยมากเช็คมือถือทุกๆ 5 ใช่ไหม 10 นาที โดยไม่รู้ตัว เหรอสั่งการตัวเองไม่ให้ทำแบบนั้นได้ลำบากลำบน เพราะว่าที่เราไม่รู้ตัวเองเลยว่าเริ่มมีความประพฤติแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร แต่กระนั้นรู้ตัวอีกทีเราก็เอาแต่รูดหน้าจอเกือบทุกขณะ
     หลายๆ คนอาจจักรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร ก็เพราะว่ามันทำให้เราไม่อาจโฟกัสกับเรื่องที่เด่นได้นานๆ พร้อมกับศักยตามมาด้วยความเครียด
     Frances Booth ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการใช้ชีวะในกาลเวลาดิจิทัล ชี้ตัวว่ามีหลายๆ ที่มาที่ทำให้เราสร้างสรรค์สันดานติดการเช็คมือถือบ่อยๆ ขึ้นมา เช่นว่า ความกลัวที่จะพลาดข่าวสาร ตามโลกไม่ทันการ ซึ่งเป็นทีท่าที่ฝรั่งเรียกกันว่า Fear of Missing Out (FOMO) ซึ่งเป็นความคาดหมายพร้อมทั้งความบังคับที่เรารังสรรค์ขึ้นมาเอง จนกลายเป็นว่าเราต้องดราฟท์ด้ามโดยอัตโนมัติ
     อุปนิสัยแบบนี้ก็ยังกะกับนิสัยอื่นๆ เมื่อประดิษฐ์ขึ้นมาได้ก็ย่อมทำให้หายตัวได้ ซึ่งต้องจัดการกับสมองของเราเอง ตัดความเชื่อมโยงระหว่างความคิดอ่านพร้อมด้วยการชดใช้อินเทอร์เน็ตออกจากกัน
     คำถามคือ จากนั้นต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าที่เราจะปลูกสร้างลักษณะพิเศษใหม่ๆ ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้ คำตอบคือมันต้องอาศัยความต่อเนื่องของนิสัยใหม่ๆ จนกลายเป็นความเคยชิน ด้วยกันมันกลายเป็นนิสัยประจำตัวที่ขึ้นมาแทน
     จากงานวิจัยที่พัวพัน สรุปว่าจักต้องใช้ยุคสมัย 66 วันในการสร้างอุปนิสัยใหม่ๆ แม้กระนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย พร้อมด้วยหลายๆ สถานการณ์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วก็คือ 66 วัน
     นักวิจัยบอกว่าการทำลายนิสัยเดิมๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงแม้ว่าคุณจะมีความต้องการอย่างแรงกล้าขนาดไหน และถ้าคุณยิ่งไม่แน่ใจว่าจะทำมันได้หรือเปล่า คุณก็ยิ่งอยู่ห่างไกลจากคำว่า สำเร็จ มากขึ้นไปอีก
     เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจที่ต้องมีเคล็ดลับมากขึ้นอีกนิดหากอยากจะเลิกพฤติกรรมเช็คมือถือตลอดเวลา สิ่งที่ต้องมีก็คือ ความมั่นใจ ว่าคุณอยากจะเลิกพฤติกรรมนี้จริงๆ
     งานวิจัยอีกงานระบุว่า เมื่อเทียบกับปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ แล้ว สื่อ คือแรงกระตุ้นที่ปฏิเสธได้ยากกว่า ไม่น่าแปลกใจที่มันจะต้องใช้ความพยายามมากขึ้นอีกนิด และทำให้มันค่อยเป็นค่อยไป
นี่คือขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณควรทำ หากอยากเลิกนิสัยติดมือถือ
     -เริ่มต้นด้วยการวัดผล เพื่อให้เห็นภาพรวมว่าจริงๆ แล้วคุณเช็คมือถือบ่อยแค่ไหน แพลทฟอร์มอะไรที่คุณใช้มากที่สุด และนับเป็นรายชั่วโมง ลองจดบันทึกสิ่งเหล่านี้ แล้วสรุปออกมาว่าในแต่ละวันคุณหยิบมือถือขึ้นมาดูบ่อยแค่ไหน
     -ลองตั้งค่าการใช้งานโซเชียลมีเดียและอีเมลให้ต้องกรอก Username และ Password ทุกครั้งที่เข้าใช้งาน เพื่อไม่ให้คุณเข้าถึงมันได้ง่ายๆ แบบอัตโนมัติทุกครั้ง
     -ลองสังเกตดูว่าคุณพิมพ์รหัสผ่านได้เร็วแค่ไหน แล้วพยายามทำให้มันช้าลง ทำอย่างมีสติและรอบคอบ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณอยากจะ Log in จริงๆ ไม่ใช่ทำไปเพราะความเคยชิน
     -หยุดคิด 1 จังหวะเมื่ออยากจะ Log in เช่น ก่อนที่นิ้วมือของคุณแตะลงไปบนไอค่อน หรือก่อนที่มือของคุณจะหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา อย่างน้อยก็คิดดีๆ ว่าจำเป็นที่จะต้องทำตอนนี้ เดี๋ยวนี้ จริงเหรือเปล่า
     -สำหรับคนที่อยากใช้วิธีหักดิบ ลองวางมือถือทิ้งไว้ให้ไกลๆ ตัว หรือวางไว้ในลิ้นชักหรือห้องอื่นๆ ที่คุณไม่ได้อยู่เป็นประจำ
     การสร้างนิสัยใหม่ต้องใช้พลังใจมากพอสมควร แต่มันจะกลายเป็นอุปนิสัยใหม่ๆ ได้ในที่สุด โดยที่คุณจะทำมันได้ทันทีแบบไม่ต้องคิด เหมือนๆ กับที่ตอนนี้คุณเช็คมือถือโดยไม่ต้องคิด
     ที่สำคัญที่สุดคือ การตัดนิสัยเช็คมือถือบ่อยๆ โดยไม่จำเป็นออกไป จะทำให้คุณสร้างผลงานดีๆ ได้อีกมาก และใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลยิ่งขึ้น
     นอกจากนี้ โดยส่วนตัวแล้วยังเชื่อว่า ทุกวันนี้เราสนใจเรื่องของคนอื่นมากเกินไป จนโฟกัสกับตัวเองน้อยลง และพัฒนาตัวเองได้อย่างเชื่องช้า การตัดขาดโลกออนไลน์ซะบ้างน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตมากกว่า

VAIO กลับมาแล้ว ! เปิดตัวโน๊ตบุ๊คแล็ปท็อป Z ซีรีส์ แบบไฮบริด

ถือเป็นการตั้งต้นต้นศักราชใหม่ของแบรนด์ VAIO ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ร่มเงาของ Sony อีกหลังจากนั้น หลังจากถูกขายต่อให้กับกลุ่มกองทุนรวมของญี่ปุ่น พร้อมทั้งล่าสุดได้โหมโรงคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปสองแบบใหม่ VAIO Z พร้อมด้วย VAIO Z Canvas
โหมโรงกันที่ VAIO Z ได้รับฉายาว่า Monster PC มีหน้าจอแสดงผลขนาด 13.3 นิ้ว มีรุ่นที่ใช้ชิป Intel Core i5 กับรุ่นที่ใช้ Intel Core i7, บอดี้ใช้อลูมิเนียมคาร์บอนเป็นส่วนประกอบ น้ำหนัก 1.34 กิโลกรัม ตัวเครื่องมีความหนา 16.8 มิลลิเมตร มีโหมด multiflip ที่่ช่วยพับหน้าจอจากแล็ปท็อปให้กลายเป็นแท็บเล็ตได้ ชาร์จหนึ่งครั้งศักยใช้งานได้นานสูงสุด 15.5 ชั่วโมง ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 190,000 เยน หรือว่าราวๆ 52,000 บาท
ซีรีส์ถัดมาเป็น VAIO Z Canvas ได้รับฉายาว่า Monster Tablet หน้าจอขนาด 12.7 ความละเอียดการแสดงผล 2,560 x 1,704 พิกเซล ให้โทนสี Adobe RGB ถึง 95% ใช้ชิป Intel Core i7, SSD 256GB ทำเป็นถอดแป้นพิมพ์ได้ ทำให้เปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจากแล็ปท็อปให้กลายเป็นแท็บเล็ต พร้อมการใช้งานร่วมกับสไตลัสได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ยังไม่มีการเปิดปริปากมูลค่าออกมาในเวลานี้
เจ้าโน๊ตบุ๊ค VAIO Z เริ่มทำเปิดจองในประเทศญี่ปุ่นแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ส่วน VAIO Z Canvas อาจต้องรอจนถึงเดือนพฤษภาคม ส่วนจักขยายการวางจำหน่ายออกนอกญี่ปุ่นด้วยหรือไม่ไม่ยังมีข้อมูลในเวลานี้ครับ
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2558

ร่วมเพิ่มพูนธรรมเนียม “หยุดคลิก“

เทรนด์การ เสพข่าว ของคนแบบใหม่ และกลุ่มคนที่อาจไม่ใช่รุ่นใหม่ แต่หันมาใช้อุปกรณ์ หรือไม่ก็ดีไวซ์อื่น ๆ อาทิ สมาร์ทโฟน แท็บเลต ในการอ่านข่าวกำลังเป็นที่นิยม
ทันทีที่ใช้อุปกรณ์ทันระยะเวลาเสพข่าวแล้ว ช่องทาง ที่จักเห็นข่าว สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมอ่านข่าวอยู่ 2 ด้าน คือ แบบเข้าไปในเว็บไซต์ข่าวของสื่อหรือว่าสำนักข่าวที่สนใจโดยตรง กลุ่มนี้ยังอ่านข่าวจากสื่อกระแสหลัก รวมถึงกลุ่มซื้ออ่านแบบอิเล็กทรอนิกส์จ่ายรายเดือน
src=http://p4.isanook.com/hi/0/ud/278/1394089/untitled-1.jpg
แต่การอ่านข่าวอีกกระแสหนึ่งที่กำลังเป็นที่นิยม คือ อ่านข่าวแบบอิสระตามโซเชียลมีเดีย อาทิ บนฟีดเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม แม้กระทั่งอ่านตามกลุ่มห้องแชตในไลน์ในโทรศัพท์มือถือ
นี่เองจึงเกิดเป็นวัฒนธรรมการอ่านข่าวแบบ คลิก ของคนยุคโซเชียลมีเดีย
อย่างไรก็ดี ในกลุ่มที่อ่านข่าวลักษณะนี้แยกย่อยได้อีกว่า กลุ่มหนึ่งสนใจข่าวเชิงฮาร์ดนิวส์ กับอีกกลุ่มสนใจข่าวแบบโซเชียลฯ คือ ไม่ได้สนใจข่าวไหนเป็นพิเศษ แต่อ่านสิ่งที่เป็นกระแสด้วยกันถูกแชร์มา
จนกระทั่งระบบโซเชียลมีเดียใช้วิธีประมวลผลพร้อมกับจับกระแสข่าวที่ถูกแชร์ ถูกแสดงความเห็น กดไลก์มาก ทำให้พบเห็นเตะตาง่ายสุด ทำให้ผู้ใช้โซเชียลฯเห็นข่าวนั้นได้มากกว่าข่าวเชิงคุณภาพที่อาจมีคนสนใจน้อย แน่นอนว่า ข่าวจำพวกสีสัน และอื้อฉาวจึงตอบโจทย์กระแสโซเชียลมีเดียนั่นเอง
ด้วยกันจนถึงยิ่งเห็นง่าย ก็ยิ่งถูกกระพือไปง่าย ทำให้เห็นปรากฏการณ์ข่าวที่ไม่น่าจะเป็นข่าวโด่งดังบนสื่อกระแสหลักได้เลย อย่างข่าว เหนียวไก่หาย
ในโลกโซเชียล หลายครั้งที่ข่าวที่ถูกกดคลิกอ่านมากที่สุด กลายเป็นข่าวที่ไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย (เว้นบางกรณีที่ข่าวฮาร์ดนิวส์มีแรงพอจักกระเทือนสังคมได้) บางข่าวก้าวข้ามจากการรายงานข่าวไปเป็นการยุยงก็มี
นี่จึงเป็นที่มาของไอเดียที่น่าสนใจคือ แนวคิด หยุดคลิก เพื่อหยุดวงจรข่าวไม่เป็นสาระ เป็นการหยุดที่ตัวคนอ่าน ไม่ได้หยุดที่คนรายงานข่าวนั่นเอง
ไอเดียนี้มาจาก แซลลี่ คอห์น นักวิเคราะห์ข่าวอิสระชาวอเมริกันที่แนะนำว่าอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับข่าวใด ๆ ที่พยายามจะให้คุณเสียสติ ในทางกลับกัน ควรใช้การคลิกอันมีค่าของคุณกดเข้าดูข่าวที่คุณเชื่อถือได้อย่างแท้จริง
เธอพูดสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่า ไม่ชอบโดนล่อให้คลิกก็จงอย่าคลิก
ผู้อ่านต้องตระหนักให้ได้ว่า การคลิก คือการกระทำเชิงสาธารณะ เช่นเดียวกับทุกสิ่งที่เขียนในอินเทอร์เน็ตก็เป็นสิ่งสาธารณะ แปลว่านับวันผู้อ่านก็เปรียบเสมือน สื่อ ทั้งหมดนั่นเอง
คราวคิดได้ว่า พวกเราคนอ่านก็คือสื่อทั้งหมดด้วย ก็ต้องเปลี่ยนวิธีคลิก ไม่คลิกอ่านข่าวโคมลอย ข่าวกระแสที่ไร้สาระจนไม่น่ากดส่งต่อ เพราะว่าทันทีที่ทำให้ข่าวอย่างนั้นมียอดคลิกมาก ก็ยิ่งส่งเสริมข่าวแบบนั้นให้เป็นกระแสอีกเช่นกัน
แซลลี่เอื้อนแบบชัดเจนเลยว่า เลิกคลิกลิงก์อ่อยเหยื่อ ไม่ใคร่ได้ดู ก็อย่าคลิก ถ้าไม่ชอบการแสดงความเห็นสาดโคลนไม่จบก็หยุดคลิก เรียกว่าไม่ต้องสุมไฟ ถ้าผู้ชนะคือผู้ที่ถูกคลิกมากที่สุด เราต้องเปลี่ยนด้วยคลิกของเรา ให้ถือว่าการคลิกเป็นการกระทำอย่างเปิดเปรย พร้อมทั้งต้องคลิกอย่างรับผิดชอบ แซลลี่ คอห์นสรุป
ฟังแล้วแม้จักทำยากมาก ก็เพราะว่าหลักสื่อสารมวลชน คำว่า Human Interest ยังใช้ได้อยู่ ด้วยข่าวสารที่ไร้สาระแต่พาดหัวเร้าใจชวนให้กดคลิก
แต่ขอเสริมว่าแม้จะกดคลิกอ่านแล้ว ก็ต้องอ่านแบบมีวิจารณญาณ ถ้าเจอข่าวสารที่ดูหมิ่นเหม่กับข้อเท็จจริงๆ อย่าเพิ่งเชื่อเหรอรีบส่งแชร์ต่อ การคิดว่าแค่แชร์ต่อไม่ได้เสียหาย แท้จริง ๆ แล้วเรากำลังอยู่ในวงจรกระพือข่าวผิด ทำให้สังคมสับสน ถ้าหากไม่แน่ใจสิ่งที่อ่านก็จงอย่าแชร์ แต่จงหาข้อเท็จนัก ไม่ก็รอที่จักมีคำตอบที่น่าเชื่อถือมาอธิบายจะดีกว่าส่งแชร์ถัดไป
วิจารณญาณสำคัญมากเหตุด้วยการเสพข่าวแบบคลิกแบบแชร์ในโลกวันนี้
ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2558

ระดับโลกมือถือประเทศจีน ที่เลิศ ประจำปี 2014 มีรุ่นใดบ้าง มาจ้องกัน

เกี่ยวกับ ตลาดสมาร์ทโฟน ในปัจจุบัน นอกจากจะมีแบรนด์ที่คุ้นหู อย่าง Apple, Samsung, HTC, Sony และแบรนด์อื่นๆ ที่ขึ้นแท่น มือถือยอดฮิต แล้ว ปี 2014 นี้
ถือว่า มือถือจีน มาแรงด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากยอดพรีออเดอร์ พร้อมด้วยยอดขายหลายๆ รุ่น ที่เป็นได้ตีตลาดได้ในหลายๆ ประเทศนั่นเอง นอกจากนี้ มือถือจีน ยังขึ้นชื่อในเรื่องของ สเปคแรง แต่ราคาถูกกว่า ตราบใดเทียบกับ มือถือ ที่มีสเปคใกล้เคียงกัน มาดูกันครับว่า  ที่ได้รับความนิยมที่สุด ได้รับความนิยมมากที่สุด ในปี 2014จักมีรุ่นอะไรกันบ้าง
Huawei Ascend G7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887261.jpgด้วย Huawei Ascend G7 นั้น นอกจากจะมาพร้อมกับ ดีไซน์หรูหรา ด้วยตัวเครื่องแบบอะลูมิเนียมแล้ว ในส่วนของสเปค ก็ยังแรงไม่ปราชัยกัน เพราะมาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720p, ชิปเซ็ต Snapdragon 610 แบบ 64-bit, แบตเตอรี่ขนาด 3000 mAh, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล, รองรับ 4G LTE กับรัน Android 4.4 KitKat ซึ่งราคาของรุ่นนี้ อยู่ที่หมื่นต้นๆ เท่านั้นเอง
Xiaomi Redmi 1S
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887412.jpgXiaomi Redmi 1S สมาร์ทโฟนรุ่นต่อยอด ที่ตอกย้ำความแรงด้วยยอดขายในหลายๆ ประเทศ มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 720 x 1280 พิกเซล, RAM 1 GB, หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz, หน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 8 GB, กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล พร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 2000 mAh
vivo XShot
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887543.jpgvivo แบรนด์มือถือสัญชาติจีน ที่เริ่มทำมาตีตลาดในไทยกันบ้างแล้ว กับ vivo XShot ที่โดดเด่นในเรื่องของ กล้องด้านหลัง ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล, รูรับแสงกว้าง F/1.8, รองรับการถ่ายวีดีโอ 4K และโหมดการถ่ายภาพ Slow-Motion 120fps ส่วนกล้องด้านหน้า ความละเอียดอยู่ที่ 8 ล้านพิกเซล พร้อมเลนส์มุมกว้าง นอกจากนี้ ยังมีไฟแฟลชที่กล้องด้านหน้าอีกด้วย
ส่วนสเปคอื่นๆ ของ vivo XShot ก็ถือว่า ยอดเยี่ยมไม่พ่ายกันครับ ก็เพราะว่ามาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.2 นิ้ว ความละเอียด 1080p, ชิปเซ็ต Snapdragon 800, RAM 2 GB ส่วนรุ่นที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 801 จักมาพร้อม RAM 3 GB เลยทีเดียว
Xiaomi Redmi Note
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886234.jpgติดอันดับมาเป็นรุ่นที่สอง เหตุด้วยแบรนด์ Xiaomi กับ Xiaomi Redmi Note แฟบเล็ตหน้าจอ 5.5 นิ้ว ความละเอียด 720p, ชิปเซ็ต MediaTek MT6592 แบบ Octa-Core Processor และกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในสนนราคาไม่ถึงหมื่น
UMi Zero
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886375.jpgเพื่อแบรนด์นี้ คงยังไม่คุ้นหูคนไทยเท่าไหร่ กับ UMi Zero สมาร์ทโฟนที่มาพร้อมกับ ตัวเครื่องบางแทบ 6.4 มิลลิเมตร, ชิปเซ็ต MediaTek MT6592T, RAM 2 GB, กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อม Dual-LED Flash กับรัน Android 4.4 KitKat
Huawei Ascend Mate 2
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886526.jpgเป็นแบรนด์ที่คุ้นหูคนไทยอยู่แล้ว กับ Huawei Ascend Mate 2 กับเป็นรุ่นแรกของค่าย ที่บุกตลาดมือถืออเมริกาอย่างเป็นทางการ โดย Huawei Ascend Mate 2 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว, หน่วยประมวลผลแบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 1.6 GHz พร้อมด้วยรองรับ 4G LTE อีกด้วย
OnePlus One
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169888137.jpgแม้จักเป็นแบรนด์น้องใหม่ แต่ก็ทำการตลาดจนเป็นชื่อที่ติดหูคนทั่วโลกไปแล้ว กับ OnePlus One ที่มาพร้อมกับหน้าจอ 5.5 นิ้ว พร้อมกับชิปเซ็ต Snapdragon 801 โดยมีราคาจำหน่ายในต่างประเทศ แค่ $299 เท่านั้นเอง
Meizu MX4
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169886858.jpgไม่พลาดที่จักโผด้วยเหมือนกัน กับ Meizu MX4 ที่เรียกได้ว่า เป็นรุ่นที่ถูกใจใครหลายๆ คนด้วยเช่นกัน เพราะมาพร้อมชิปเซ็ต MediaTek MT6595 แบบ Octa-Core Processor, RAM 2 GB, กล้องด้านหลัง 20.7 ล้านพิกเซล พร้อมทั้งแบตเตอรี่ขนาด 3100 mAh ใช้งานได้จุใจตลอดวัน
OPPO Find 7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_14169887019.jpgสำหรับ OPPO Find 7 นั้น เรียกได้ว่า โดดเด่นตั้งแต่ดีไซน์ไปจนถึงสเปคเลยทีเดียว เพราะมาพร้อมกับหน้าจอกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801, หน่วยความจำภายในขนาด 32 GB พร้อมกับกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในมูลค่าหมื่นกลางๆ
Lenovo Vibe Z2 Pro (K920)
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698871710.jpg
หลายๆ ท่านอาจจักยังไม่ทราบว่า เลอโนโว แน่แท้ๆ แล้วเป็น แบรนด์จีนครับ เพราะ Lenovo Vibe Z2 Pro (K920) รุ่นนี้ โดดเด่นด้วยหน้าจอขนาด 6 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, กล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล พร้อม OIS, รองรับ NFC ด้วยกันแบตเตอรี่ขนาด 4000 mAh
ZTE Nubia Z7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698887711.jpg
สำหรับ ZTE Nubia Z7 นั้น มาพร้อมกับหน้าจอกว้าง 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1440 x 2560 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801, RAM 3 GB, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์ Sony Exmor RS พร้อมกับระบบกันภาพสั่น OIS นอกจากนี้ ยังรองรับ 4K UHD video อีกด้วย
Huawei Honor 6
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698889012.jpg
Huawei Honor 6 มาพร้อมกับหน้าจอ 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต HiSilicon Kirin K920 แบบ Octa-Core Processor, RAM 3 GB และกล้องด้านหลัง 13 ล้านพิกเซล ในราคาหมื่นต้นๆ เช่นกัน
Huawei Ascend Mate 7
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698890413.jpg
ได้ฤกษ์เริ่มในไทยไปพอไม่นานมานี้ กับ Huawei Ascend Mate 7 แฟบเล็ตหน้าจอ 6 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล ที่โดดเด่นในเรื่องของ วัสดุตัวเครื่องแบบโลหะนั่นเอง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับชิปเซ็ต HiSilicon Kirin 925, RAM 2 GB, กล้องหน้า 5 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล ด้วยกันแบตเตอรี่ขนาด 4100 mAh เคาะค่าในไทยแล้วที่ 16,990 บาท
OPPO N3
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698892414.jpg
มือถือกล้องหมุนได้รุ่นต่อยอดกับ OPPO N3 ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, RAM 2 GB พร้อมทั้งกล้องหลัง 16 ล้านพิกเซล ที่สามารถหมุนสลับมาเป็นกล้องด้านหน้าได้
Xiaomi Mi 4
src=http://www.techmoblog.com/uploads/content_images/201411/images_141698893315.jpg
เพราะว่า Xiaomi Mi 4 นั้น ถือว่า เป็นมือถือจีนที่ถูกจับตามองมากที่สุด ณ ในเวลานี้ครับ เพราะว่านอกจากจะมาพร้อมกับ ตัวเครื่องแบบโลหะแล้ว ในส่วนของสเปคก็ถือว่า น่าสนใจไม่จำนนกัน ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอกว้าง 5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกเซล, ชิปเซ็ต Snapdragon 801 แบบ Quad-Core Processor ความเร็ว 2.5 GHz, กล้องหน้า 8 ล้านพิกเซล, กล้องหลัง 13 ล้านพิกเซล, RAM 3 GB พร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3080 mAh ซึ่งปัจจุบัน Xiaomi ขึ้นแท่นผู้ผลิตรายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลกแล้วอีกด้วย
รายละเอียดเพิ่มเติม : phonearena.com
สนับสนุนเนื้อหา: www.techmoblog.com


ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com